ระเบิดสุดแจ่ม หลังกดคนเดียวสามตุงช่วย “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” บุกยิงแซงเก็บชัย
ระเบิดสุดแจ่ม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือคนเก่งของ แมนฯ ซิตี้ พร้อมส่งแนวรุกหลัก เควิน เดอ บรอยน์ และราฮีม สเตอร์ลิง ลงในสนาม โดยมี ริยาด มาห์เรซ ยืนล่าตาข่ายหน้าเป้า ทางฝั่งผู้มาเยือน ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ได้ จอนนี่ อีแวนส์ ที่พ้นโทษแบนกลับมาช่วยกลุ่ม พร้อมนำกลุ่มแนวรุกโดย ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ แล้วก็ เจมี่
เริ่มครึ่งแรกมาเพียงแค่ 4 นาที เจ้าถิ่น “เรือใบสีฟ้า” ก็มาได้ประตูขึ้นนำอย่างเร็ว เมื่อได้ลูกเตะมุม เควิน เดอ บรอยน์ เปิดโด่งมาที่หน้าประตู เจมส์ จัสติน โหม่งเคลียร์ไม่ขาด บอลมาทาง ริยาด มาห์เรซ ที่เก็บตกในกรอบจุดโทษได้ ก่อนซัดเปรี้ยงเดียว จ่ายบอลตุงตาข่ายไปเป็น ระเบิดสุดแจ่ม อย่างงดงาม แมนฯสิตี้ ขึ้นนำ 1-0
10 นาทีถัดมา เจ้าถิ่นที่ครองบอลมากยิ่งกว่าได้โอกาสจบสกอร์อีกครั้ง แต่ลูกยิงของ โรดรี เอร์นานเดซ ที่ซัดมุมแคบในกรอบเขตโทษ เหินโด่งออกหลังไปนิดหน่อย รับการปฏิบัติแตกต่าง
ตอน 18 ลูกทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า ยังบุกใส่รวมทั้งได้ช่องอีกรอบ จากจังหวะหลุดเข้าไปในกรอบจุดโทษของ ราฮีม สเตอร์ลิง ยังดีที่ คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ยังทำได้เยี่ยม เซฟช่วย ไม่ให้เสียประตูเพิ่มได้
ตอน 26 แมนฯสิตี้ พลาดได้ประตูนำห่างไม่น่าเชื่อ เมื่อได้ลูกฟรีคิกรอกกรอบ เควิน เดอ บรอยน์ หยอดเข้าไปที่หน้าประตู แฟร์นันดินโญ่ ได้โขกเหน่งๆคนเดียว แต่กองกลางบราซิเลี่ยน กลับโหม่งค่อยและตรงตัว คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ไปเอง
ช่วง 35 เควิน เดอ บรอยน์ เปิดฟรีคิกนอกกรอบอีกที ก่อนหยอดให้ โรดรี โขกส่งบอลตุงตาข่ายไปแล้ว แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินตีธงล้ำหน้า ทำให้ แมนฯสิตี้ ชวดได้ประตูลำดับที่สอง
รวมทั้งเหมือนโดนลงโทษทันที เมื่อ ใช้ช่องทางโต้กลับก่อนมาได้ลูกจุดโทษ เมื่อ เจมี่ ไปโดน ไคล์ วอล์คเกอร์ เหนี่ยวล้มในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสิน ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ชี้เป็นลูกจุดลูกโทษให้กลุ่มเยือนทันที ก่อนที่ 38 จะรับหน้าที่สังหารไม่พลาด ยิงให้ ตีเสมอได้เสร็จ 1-1
ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ หมดครึ่งแรก แมนฯซิตี้ เปิดบ้านเสมอ 1-1
มาลุ้นต่อครึ่งหลัง ช่วง 51 เรือใบสีฟ้า เปลี่ยนตัวผู้เล่นหวังเพิ่มแนวรุกโดยส่ง เลียม ดีแลป ศูนย์หน้าดาวรุ่งลงไปแทน แฟร์นันดินโญ่ นาทีที่ 53 แมนซิตี้ มีลุ้นบวกสกอร์ขึ้นนำเมื่อ ริยาด มาห์เรซ สบโอกาสกระชากตัดหน้ากรอบเขตโทษก่อนกดด้วยเท้ายซ้ายเต็มๆบอลพุ่งแรงหลุดออกข้างเสาประตูไปนิดเดียว
และก็นาทีต่อมากลับเป็น เลสเตอร์ ที่ออกนำ 2-1 จากจังหวะโตกลับไว ยูริ ตีเลอมันส์ จ่ายบอลอย่างสวยให้ ติโมธี คาสตานเญ่ ได้หลุดขึ้นไปผ่านบอลหักข้อสุดริมเส้นฝั่งขวายัดเข้ามาในเขตโทษและก็เป็น วาร์ดี้ ที่ใช้ความไววิ่งปาดหน้าแข้งสิตี้ก่อนยิงลูกไขว้ระยะเผาขนเข้าไปที่เสาแรกทำเอา โมราเอส เป้าหมายดักทางรับบอลคุ้มครองป้องกันได้เพียงแต่สายตาแค่นั้น
ตอน 57 ดูเหมือนจะได้ใจเกือบได้จดสกอร์เพิ่มอีกครั้ง วาร์ดี้ คืนบอลให้ เดนนิส ปราต วิ่งเข้ามาตะบันเต็มข้อระยะราว 25 หลากลางกรอบเขตโทษบอลพุ่งทำท่าจะเสียบโคนเสาแต่ไม่ผ่านมือ โมราเอส ที่พุ่งปัดไว้ได้อย่างหวุดหวิด ผลบอล
นาทีถัดมากลุ่มเยี่ยมมาได้จุดโทษ เอริก การ์เซีย เสียท่าไปตัดฟาวน์ใส่ วาร์ดี้ ด้านหลังล้มลงในจุดโทษผู้ตัดสินชี้ให้เป็นจุดโทษแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก รวมทั้งเป็น ที่ลุกขึ้้นมารับหน้าที่ฆ่าเข้าไปไม่เหลือ ออกนำห่าง 3-1 รวมทั้งนับเป็นการทำแฮตทริกของ เจมี่ อีกด้วย
ช่วง 64 แมนซิตี้ คงจะได้ประตูตีตื้นเมื่อ เลียม ดีแลป ได้โขกเต็มๆหัวแต่บอลกลับพุ่งไปชนคานอย่างจังแถมไร้โชคหลุดออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย มาได้ประตูนำห่าง 4-1
ตอน 77 จากลูกยิงสุดงามของ เจมส์ แมดดิสัน ที่เปลี่ยนตัวลงมาแทน เดนนิส ปราต ไม่ถึง 10 นาที โดย แมดดิสัน ได้จังหวะบรรจงปั่นโค้งด้วยเท้าขวาบริเวรฝั่งขวาของกรอบเขตโทษระยะประมาณ 20 หลาบอลพุ่งมุดเสียงใต้คานเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม
ช่วง 83 แมนซิตี้ ได้ลุ้นจากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 19 หลากลางกรอบเขตโทษเป็น ราฮีม สเตอร์ลิง วิ่งเข้ามาซัดแตไปติดกำแพงกระดอนออกหลังเป็นลูกเตะมุม ดูบอลสด
และจากจังหวะนี้เอง แมนซิตี้ ได้ประตูขยับขึ้นมาเป็น 2-4 เมื่อ มาห์เรซ เปิดมุมทางฝั่งซ้ายบอลลอยโค้งมาเข้าหัว นาธาน อาเก้ ได้กระแทกเต็มๆบอลเข้าไปกองก้นตาข่าย
สามนาทีต่อมาสุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินได้ประตูนำห่างเป็น 5-2 จากลูกจุดโทษจากการทำฟาวน์ด้านหลังเข้าใส่ เจมส์ แมดดิสัน ของ แบ็งฌาแม็ง เมนดี้ รวมทั้งเป็น ยูริ ตีเลอมันส์ รับหน้าที่ซัดเข้าไปไม่พลาด ในนาทีที่ 88
ขณะที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มจบเกมเป็น เลสเตอร์ สิตี้ เร่งเครื่องยิงแซง แมนซิตี้ ถึงถิ่น 5-2 คว้าสามแต้มสำคัญพร้อมขยับขึ้นไปยึดตำแหน่งจ่าฝูงลีกได้สำเร็จ โดยมี 9 คะแนนเท่ากับเอฟเวอร์ตัน แม้กระนั้นส่งผลต่างประตูได้เสียที่ดียิ่งกว่า
รายชือผู้เล่นของทั้งสองทีม
แมนฯ ซิตี้ (4-2-3-1) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, เอริก การ์เซีย, นาธาน อาเก้, แบ็งฌาแม็ง เมนดี้ – แฟร์นันดินโญ่ (เลียม ดีแลป น.51), โรดรี เอร์นานเดซ – ฟิล โฟเด้น ( เฟร์ราน ตอร์เรส น.64), เควิน เดอ บรอยน์, ริยาด มาห์เรซ – ราฮีม สเตอร์ลิง
เลสเตอร์ (5-4-1) : คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล – ติโมธี คาสตานเญ่, จอนนี่ อีแวนส์ (คริสเตียน ฟุคส์ น.80), แดเนียล อมาร์ตี้, ซากลาร์ โซยุนชู, เจมส์ จัสติน – น็อมปาลิส เมนดี้ , ยูริ ตีเลอมันส์, เดนนิส ปราต (เจมส์ แมดดิสัน น.69), ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ – เจมี่ วาร์ดี้ (เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ น.85)